ผลการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการปฏิบัติ ๕ ขั้นของสไตน์และคณะ ที่มีต่อ มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) เปรียบเทียบมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการปฏิบัติ ๕ ขั้นของสไตน์และคณะ กับเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ (๒) เปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการปฏิบัติ ๕ ขั้นของสไตน์และคณะ กับเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๓ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๔๔ คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๕ แผน (๒) แบบทดสอบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๘๑ (๓) แบบทดสอบวัดความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๗๑ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว (t-test for one sample)
ผลการวิจัยพบว่า (๑) มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการปฏิบัติ ๕ ขั้นของสไตน์และคณะ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ (๒) ความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการปฏิบัติ ๕ ขั้นของสไตน์และคณะ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๗๐ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
๑. กรมวิชาการ. การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔.
๒. กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๖๐.
๓. ทรรศมน วินัยโกศล. “ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามโมเดลของสไตน์ที่มีต่อความรู้และความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๓”. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๑.
๔. กิตติ พัฒนตระกูลสุข. “การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาของประเทศไทยล้มเหลวจริงหรือ”. วารสารคณิตศาสตร์. ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๕๓๐–๕๓๒ (กันยายน–ธันวาคม ๒๕๔๖) : ๕๔–๕๘.
๕. นาตยา ปิลันธนานท์. การเรียนรู้ความคิดรวบยอด (Concept Learning). กรุงเทพมหานคร : เจ้าพระยาระบบการพิมพ์, ๒๕๔๒.
๖. เวชฤทธิ์ อังกนะภัทรขจร. ครบเครื่องเรื่องควรรู้สำหรับครูคณิตศาสตร์: หลักสูตรการสอนและการวิจัย. กรุงเทพมหานคร : จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์, ๒๕๕๔.
๗. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ครูคณิตศาสตร์มืออาชีพ เส้นทางสู่ความสำเร็จ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ๓–คิว มีเดีย จำกัด, ๒๕๕๕ก.
๘. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓ แก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพมหานคร : ๓–คิว มีเดีย, ๒๕๕๕ข.
๙. สุวัฒนา เอี่ยมอรพรรณ. วิธีและเทคนิคการสอนคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาการคิดสำหรับครูในยุคปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
๑๐. Barrody, A. J. and Coslick, R. T.. Problem solving, reasoning and communicating, K-12: Helping children think mathematically. New York : Macmilan, 1993.
๑๑. Cai, J. & Lester, F.. “Why is teaching with problem solving important to student learning?”. The national council of Teacher of Mathematics. vol. 13 No.12 (April 2010) : 1–6.
๑๓. Groth, R. E.. “Using the five practices model to promote statistical discourse”. Teaching Statistics. vol. 37 No.1 (June 2014) : 13–17.
Hughes, K.E.. “Lesson planning as a vehicle for developing pre-service secondary teachers' capacity to focus on students' mathematical thinking”. Education dissertation. University of Pittsburgh, 2006.
๑๔. Jamar. “High expectations: A "how" of achieving equitable mathematics classrooms”, Negro Educational Review. vol. 56 No.2 (July 2005) : 3.
๑๕. Johanning I. Debra. “An analysis of Writing and Post writing Group Collaboration In middle School Pre-Algebra”. School Science and Mathematic. vol. 100 No.3 (March 2000) : 151–160.
๑๖. Kennedy, L. M., and Tipps, S.. Guiding children's learning of mathematics. California : Wadsworth, 1994.
๑๗. Kinard, T. and Kozulin, A.. Rigorous Mathematical Thinking: Conceptual formation in the Mathematics classroom. Cambridge : Harvard University Press, 2008.
๑๘. Klausmeier, H. J., and Ripple, R. E.. Learning and human abilities. New York : Harper International Edition, 1971.
๑๙. Mumme, J., and Shepherd, N.. Communication in Mathematics In Implementing the K-8 Curriculum and Evaluation Standards. Virginia : The national council of Teacher of Mathematics, 1993.
๒๐. Stein, M. K., Engle, R. A., Smith, M. S., & Hughes, E. K.. “Orchestrating productive mathematical discussions: Five practices for helping teachers move beyond show and tell”. Mathematical Thinking and Learning. vol. 10 No.4 (October 2008) : 313–340.
๒๑. Stigler, J. W., Gallimore, R., and Hiebert, J.. “Using video surveys to compare classrooms and teaching across cultures: Examples and lessons from the TIMSS video studies”. Educational Psychologist. vol. 35 No.2 (June 2000) : 87–100.
๒๒. The National Council of Teachers of Mathematics. Principles and standards for school mathematics. vol. 1, Virginia : The national council of Teacher of Mathematics, 2000.
๒๓. The National Council of Teachers of Mathematics. Principles to Actions: Ensuring Mathematical Success for All Produced. (Virginia : The national council of Teacher of Mathematics, 2014.
๒๔. Williams, D.. "Development Reading Comprehension Skills at the Post Primary Level". Forum. vol. 21 No.3 (July 1983) : 251–255.
๒๕. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. คู่มือการจัดการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ศูนย์สอบ. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : www.niets.or.th [๑๖ มกราคม ๒๕๖๕].
๒๖. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ผลการประเมิน PISA 2018 การอ่านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http:/www.ipst.ac.th [๑๒ มกราคม ๒๕๖๕].