แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมตามหลักบุญกิริยาวัตถุ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องแนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมตามหลักบุญกิริยาวัตถุ มีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ คือ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมไทยในยุคปัจจุบัน (๒) เพื่อศึกษาหลักบุญกิริยาวัตถุในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และ (๓) เพื่อเสนอแนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมไทยตามหลักบุญกิริยาวัตถุ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๕ รูป/คน และประชาชนทั่วไปในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี จำนวน ๑๖ คน
ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมไทยในยุคปัจจุบันมี ๓ ประการ คือ (๑) เห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ (๒) ไม่มีระเบียบวินัย เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และ (๓) การขาดสติ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง และคนในสังคมไทยยุคปัจจุบันมักไม่เข้าใจคำว่าบุญกิริยาวัตถุ แต่รู้จักคำว่าทาน ศีล และภาวนา ซึ่งคำว่าบุญกิริยาวัตถุมีปรากฏในสังคีติสูตร และปุญญกิริยาวัตถุสูตร โดยอรรถกถาจารย์ได้อธิบายเพิ่มว่า คือการบำเพ็ญบุญ ๓ อย่าง คือ ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย ส่วนความรับผิดชอบต่อสังคม มี ๔ ระดับ คือ (๑) ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการเป็นพลเมือง (๒) ความรับผิดชอบต่อครอบครัว (๓) ความรับผิดชอบต่อสถานศึกษา และ (๔) ความรับผิดชอบต่อมิตรสหาย แนวทางการเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ทำได้โดยรูปแบบ “LOVE Model” คือ ให้ความรู้เรื่องการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุที่ถูกต้อง ในด้านการให้ทาน จัดกิจกรรมใส่บาตรร่วมกัน ลงพื้นที่บริจาคสิ่งของ ทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ สร้างช่องทางสื่อสารในโซเชียลมีเดียระหว่างวัดและชุมชน ด้านศีล ให้ทำตารางบันทึกพฤติกรรมประจำวัน ทำการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎกติกา ด้านภาวนา ให้จัดกิจกรรมฝึกเจริญสติ วิปัสสนาภาวนา โดยพระวิปัสสนาจารย์หรือวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบันให้เน้นกิจกรรมแบบออนไลน์ สวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมผ่านการไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ค แอพพลิเคชั่นซูม หรืออื่น ๆ กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวและเข้าถึงการปฏิบัติภาวนาในวิถีใหม่มากขึ้น รวมทั้งทำกิจกรรมตามรูปแบบของแอพพลิเคชั่นที่เป็นตารางฝึกปฏิบัติ “Mind Gym” ที่เน้นการปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุให้ครบทั้ง ๓ ประการในแต่ละวัน โดยเฉพาะการเจริญสติ ให้รู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน จนสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ นำไปสู่การพัฒนาจิตให้เจริญขึ้นสู่ระดับปัญญา
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กิตติกร เกื้อกูล (ปากกาสีเงิน). เบิกบาน พุทธวิถีเพื่อความงดงามของชีวิต. กรุงเทพมหานคร: บริษัท รุ่งแสงการพิมพ์ จำกัด, ๒๕๕๖.
กันตภณ หนูทองแก้ว. “การนำหลักบุญกิริยาวัตถุมาใช้ในวิถีชีวิตของประชาชน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๕๕๖”. สารอาศรมวัฒนธรรมวลัยลักษณ์. ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ (ตุลาคม ๒๕๕๗ – มีนาคม ๒๕๕๘) : ๑๖๕.
พระภัทรนันต์ ฐิตเสฏฺโฐ และคณะ. “ศึกษาวิเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ ๓ ที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท”. วารสารปัญญาปณิธาน. ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙): ๒๖.
ภูริตา บุญล้อม. “รู้จักโรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) พร้อมกับ ๖ สัญญาณช่วยเช็คว่าคุณกำลังเป็นโรคนี้อยู่หรือเปล่า”. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://thestandard.co/hurry-sickness/ [๑ กันยายน ๒๕๖๔].
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. รายงานการศึกษาไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ (Education in Thailand 2018). พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จำกัด, ๒๕๖๑.
สถานทูตสหรัฐและสถานกงสุลในประเทศไทย. รายงานว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนานานาชาติในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๓. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://th.usembassy.gov/th/our-relationship-th/official-reports-th/2020-international-religious-freedom-report-thailand-th/ [๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๔].
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี.“แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔)”. ๔๓. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://plan.bru.ac.thแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ-ฉบับที่-12/ [๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๔].
Pawinee. “ภัยใกล้ตัว! โรคทนรอไม่ได้ (ไอเอ็นเอ็น)”. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.hsri.or.th/people/media/care/detail/5779 [๑ กันยายน ๒๕๖๔].